วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แฟชั่น ส้นสูง มาแรง สาวโร่ศัลยกรรม เฉือนเท้า

ดารา นักร้อง คนดัง ระดับซูเปอร์สตาร์ เวลาแต่งกายอะไร คนมักเลียนแบบกันเป็นแถว อย่าง วิกตอเรีย เบคแฮม กวินเน็ธ พัลโทรว์ และ 4 สาวแห่ง "เซ็กซ์ แอนด์ เดอะ ซิตี้" ไอดอลของชาวตะวันตก

ล่าสุด แฟชั่น "เปรี้ยวปริ๊ด" และน่าตื่นตะลึง ที่เหล่าเซเลบนี้ใส่ เห็นจะเป็นรองเท้าส้นสูง ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งบางแบบสูงแถมไม่มีส้น อย่างที่เรียกว่า "อินวิซิเบิ้ล ฮีล"
แล้วจะยืน จะเดินยังไงเนี่ย?

เฟททิชชูส์ ของลูบูแต็ง

แฟชั่นรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ทำให้หญิงสาวที่ไล่ตามแฟชั่นจำนวนมากน้ำลายหก แต่พอใส่แล้ว ความเมื่อย ความทรมาน ถาโถมเข้ามา การใส่ส้นสูงมานานนับปี ทำให้เกิดอาการ "สติลเล็ตโต้ทาร์ซัล (Stilettotarsal)" หรือความเจ็บปวดบริเวณเท้าส่วนที่เรียกว่า "เมตาทาร์ซัล"

แม้ความเจ็บ ปวด เมื่อย ขบ จะเป็นอุปสรรค แต่สาวๆ ผู้พิศมัยรองเท้าส้นสูง แทนที่จะไปใช้รองเท้าที่ส้นเตี้ยกว่าเดิม กลับหาวิธีที่จะไม่ให้เท้าปวดอีกต่อไป ด้วยการไปให้แพทย์ฉีด "โบท็อกซ์" ที่เท้า

แมรี่ เจนกิ้นส์ เจ้าหน้าที่คลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า "มีสาวๆ เข้ามาขอให้ฉีดโบท็อกซ์ที่เท้า เป็นจำนวนมากพอๆ กับผู้ที่มาขอให้เสริมทรวงอก นับว่า การฉีดโบท็อกซ์ที่เท้าเป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว"

ด้าน "ฮาร์เลย์เมดิคัลกรุ๊ป" คลินิกศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ เปิดเผยว่า มีสตรีขอให้มาดูดไขมันออกเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 9% แต่ 9% นี้ รวมถึงผู้ที่มาให้ขอดูดไขมันบริเวณตาตุ่มและช่วงล่างเท้าออกด้วย
"สติลเล็ตโต้ทาร์ซัล" เกิดจากการสวมรองเท้าส้นสูงมานานหลายปี การฉีดโบท็อกซ์เข้าไป ก็เพื่อปกป้องเส้นประสาทและเนื้อเยื่ออ่อน ทั้งยังทำให้ผู้หญิงเดินบนรองเท้าส้นสูงได้ง่ายขึ้น

คริสติอ็อง ลูบูแต็ง ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งประกาศว่า ปีหน้าจะวางตลาดรองเท้าส้นสูงขนาด 8 นิ้ว สูงกว่ารองเท้าส้นสูงของดีไซเนอร์คนอื่นๆ เกือบ 1 นิ้ว กล่าวว่า "ไม่มีใครบังคับให้พวกสาวๆ ใส่รองเท้าส้นสูง ทั้งๆ ที่เจ็บปวด แต่พวกนี้พอใจสวมเพราะมันสวยงาม"

ยิ่งไปกว่าการฉีดโบท็อกซ์ สาวจำนวนหนึ่งถึงกับยอมเฉือนเท้าตัวเองเพราะส้นสูง
าพบน รองเท้าไร้ส้น ภาพล่างกลาง คาดิชชา ผู้ยอมเฉือนเท้า
"คาดิชชา เชลตัน" สาวนักบัญชีชาวลอนดอน คลั่งใคล้รองเท้ามาตั้งแต่เด็ก เธอจะซื้อนิตยสารแฟชั่นล่าสุดและหาว่า รองเท้าแบบไหนกำลังเป็นที่นิยม
คาดิชชา กล่าวว่า "ฉันไม่ชอบนิ้วเท้าฉันเลย มันใหญ่และยื่นออกมา โดยเฉพาะนิ้วชี้ของเท้าทั้งสองข้าง ใหญ่เกือบเท่านิ้วโป้ง เวลาใส่รองเท้าแตะ ดูแล้วน่าเกลียดมาก ฉันเลยไปปรึกษากับหมอเพราะอยากให้นิ้วเท้าสั้นลง หมอบอกว่า การทำศัลยกรรมนิ้วเท้านั้นทำได้ ด้วยการเฉือนกระดูกนิ้วเท้าออกเล็กน้อย การผ่าตัดน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายราว 200,000 บาท แต่ต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านนานหลายเดือนกว่าจะเดินได้"

แม้จะต้องเข้ารับการผ่าตัด และเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก แต่สาวผู้นี้มองว่า "คุ้มค่า"

คาดิชชา ยอมรับว่า "การที่สวมรองเท้าส้นสูงมานานหลายปี ทำให้เท้าของฉันเป็นไตแข็งๆ นิ้วเท้าบางนิ้วไม่ตรงเหมือนเดิม"

เอมี่ เฮมมิงเวย์ เป็นอีกคนหนึ่งที่สวมรองเท้าส้นสูงมานาน เธอสวมรองเท้าส้นสูงวันละ 18 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่ออาทิตย์ และเป็นเวลานาน 10 ปีมา

แล้วเอมี่ กล่าวว่า "ฉันรู้สึกทรมานมากเมื่อสวมส้นสูง ที่เท้ามีตาปลาหลายอันและใหญ่มากด้วย เมื่อตอนเป็นวัยรุ่นฉันคิดว่า การแต่งตัวตามแฟชั่นเป็นสิ่งสำคัญ จึงเสียเงินทองจำนวนมาก เพื่อซื้อรองเท้าส้นสูงแบบใหม่ล่าสุด ฉันมีรองเท้าส้นสูงนับร้อยคู่ ทั้งส้นแหลมไปจนส้นตึก"

วิกเตอเรียใส่บู๊ทไม่มีส้น สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการแฟชั่น
การสวมรองเท้าส้นสูงนานๆ ทำให้เสียสุขภาพ เอมี่ก็เช่นกัน "เหมือนกับผู้หญิงหลายๆ คนที่สวมส้นสูง ฉันมีตาปลาที่เท้าทั้ง 2 ข้าง เข่าและสะโพกฉันเริ่มปวด จนกระทั่งต้องไปหาหมอ เขาบอกว่า ตาปลาที่เท้าฉันดูแล้วน่าขนลุกที่สุดเท่าที่เคยเห็น และการที่ฉันเดินไม่เหมือนเดิม เป็นเพราะตาปลานี้ทำให้เพิ่มแรงกดบริเวณเข่า สะโพกและหลัง"

คอนสแตนซ์ บริสโค อาชีพผู้พิพากษา ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยอมเจ็บปวดเพื่อให้ได้ใส่ส้นสูง พร้อมกับการเสียเงินกว่า 700,000 บาท เพื่อผ่าเท้าที่กว้างให้แคบลง จะได้ใส่รองเท้าที่เรียวยาวของยุโรป อย่าง ยี่ห้อมาโนโล บลาห์นิกได้

บริสโค กล่าวว่า "โทนี่เพื่อนผู้พิพากษาด้วยกัน บอกว่าฉันบ้าไปแล้ว ควรจะไปตรวจสมองเสีย เขายังไม่ยอมขับรถไปส่งที่สนามบินเพื่อให้ฉันไปผ่าตัดที่นิวยอร์ก ฉันเกลียดเท้าตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว มันกว้างเกินไป"

นายแพทย์ไมค์ คัมมินส์ ศัลยแพทย์ กล่าวว่า "มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่เดือดเนื้อร้อนใจกับรูปร่างเท้าของตัวเอง เพราะบางคนเท้าใหญ่ บางคนนิ้วเท้ายื่น จนไม่สามารถสวมรองเท้าส้นสูงให้ออกมาสวยงามได้ จึงอยากมาทำศัลยกรรมเท้า แต่อย่าลืมว่า การผ่าตัดทุกครั้งมีความเสี่ยง โดยเฉพาะเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะทำหน้าที่รับน้ำหนัก การผ่าตัดเท้ายังต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือนด้วย"

นายแพทย์คัมมินส์ กล่าวต่อไปอีกว่า "ถ้ามีผู้หญิงมาขอให้ผมผ่าตัดเท้าให้ เพียงเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว ผมจะปฏิเสธ หรือไม่ก็ขอให้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะจะเป็นการผ่าตัดที่เจ็บปวดมาก"

ที่มา : เดลี่เมล์

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 เมคอัพเทรนด์สุดฮอต ซีซั่นออทั่ม-วินเทอร์ 2008
สีสันของเมคอัพหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเทรนด์แฟชั่นโลก ผสมผสานกับจินตนาการมิรู้จบ
และแรงบันดาลใจที่เก็บเกี่ยวจากสารพันสิ่งรอบตัว!! คราวนี้ เราจึงพาคุณผู้อ่านไปอัพเดท
5 เทรนด์แต่งหน้าสุดฮอตจาก 5 แบรนด์ดังระดับโลก เพื่อเตรียมต้อนรับซีซั่นใหม่
ออทั่ม-วินเทอร์ 2008 ล่วงหน้าก่อนใคร

“M.A.C.” สีสันอิสระไร้ขีดจำกัด
ก็เพราะใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวเปรียบเสมือนผืนผ้าแคนวาส M.A.C. จึงเตรียมสีสันมาให้เลือกแต่งแต้มได้อิสระตามจินตนาการ ซีซั่นนี้มาพร้อม 5 ลุคเด่น ได้แก่ ARTSY ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะหลากหลายแขนง ตั้งแต่โมเนท์ จนถึงยุคโมเดิร์นนิส, โกแกง และกราฟฟิตี้...แรงไม่แพ้กันทั้งสีสันและคอนเซปต์ ต้องยกให้ลุคสุดแกลม GLAMODRAMA นำเสนอจินตนาการไร้ขีดจำกัด ทำให้คุณได้สวยแบบเหนือจริง ด้วยแรงบันดาลใจจากดนตรีแนวร็อก, พังก์, ดิสโก้, บทกวี และการ์ตูนดังแห่งยุค... อิทธิพลจากยุค 70s ก็มีให้เห็นในคีย์ลุคสำคัญของ M.A.C. เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลุค SEVENTEASE เชิดชูภาพสาวร็อกสุดเท่แห่งยุคเซเว่นตี้ส์ ในโทนสีขรึม และลุคอินโนเซนต์ HONED ชวนให้หวนคำนึงถึงความสดใสของวัยสาว ดูบางเบาเป็นธรรมชาติมากที่สุด เน้นการเล่นแสงเงาตามโครงหน้า ได้อินสไปเรชั่นจากสาวปารีเซียงคนดังแห่งยุค 70s...อีกหนึ่งลุคฮอตยังรวมถึง DEVINE มีไฮไลต์เด่นเป็นริมฝีปากสีแดงเบอร์รี่ ที่กำลังร้อนแรงไปทั่วทุกแคตวอล์ก

“SHISEIDO” งามสง่าดุจภาพฝัน

ซีซั่นล่าสุดของ “ชิเซโด้” แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น มาพร้อมกับเทรนด์ใหม่ “เดอะ เมคอัพ ออทั่มวินเทอร์ 2008” ฝีมือการสร้างสรรค์ของศิลปินดัง “ดิ๊ค เพจ” นำแรงบันดาลใจจากเทคนิคการวาดภาพแบบเคียรอสคูโร เป็นการจัดแสงเงาให้วัตถุ และมีช่องว่างเพื่อสร้างมิติให้งานศิลป์ มาถ่ายทอดเป็นเมกอัพเทรนด์ล่าสุด โดยเล่นกับความสัมพันธ์ระหว่างแสงกับเฉดเงา อาศัยความลึกกับความสว่าง และไฮไลต์กับเฉด สร้างเสน่ห์ใหม่ให้สาวชิเซโด้ดูสง่างามและหรูหราขึ้นกว่าที่เคย
"DIOR" สาวเจ้าสำอางยุคใหม่


ผลงานสร้างชื่อของ “คริสเตียน ดิออร์” ผู้ก่อตั้งห้องเสื้อสุดหรูแห่งปารีเซียง คือการนำดีเทลสำคัญของเสื้อผ้าบุรุษ มาตัดเย็บเป็นอาภรณ์ สตรีได้อย่างงดงามน่าทึ่ง จนถือเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นครั้งใหญ่ อิทธิพลของบรมครูแห่งดิออร์ ยังตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยซีซั่นล่าสุด ผู้หญิงของดิออร์ ได้แปลงร่างเป็น “สาวเจ้าสำอาง” หรือ “แดนดี้ เลดี้” เต็มตัว ตามแนวคิดสำอางนิยม “Dandyism” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห้องเสื้อดิออร์ตลอดมา พวกเธอดูเจิดจรัสด้วยผิวพรรณอ่อนใส มีประกายผุดผ่อง ดวงตาถูกแต่งแต้มในแนวสโมคกี้สีน้ำตาลประกายเมทัลลิก รับกับริมฝีปากสุดเย้ายวนด้วยประกายสวยราวกับแพรซาติน เป็นตัวแทนของสาวผู้มุ่งมั่น และเป็นตัวของตัวเองสุดๆ ใจแกร่งเหมือนชาย แต่ซ่อนความเซ็กซี่ไว้ภายใน

“BOBBI BROWN” เสน่ห์จากปกหนังสือเก่า


ใครจะนึกล่ะคะว่า ปกหนังสือเก่าๆในห้องสมุด ก็กลายเป็นอินสไปเรชั่นในการสร้างสรรค์ เมกอัพเทรนด์ ซีซั่นล่าสุดได้!! แต่ขึ้นชื่อว่า “บ็อบบี้ บราวน์” ซะอย่าง ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแน่นอน เพราะหยิบจับอะไรขึ้นมา ก็เนรมิตให้กลายเป็นของฮอตติดตลาดได้สบาย คอลเลกชั่นใหม่ได้แรงบันดาลใจจากปกหนังสือโบราณ ที่สวยงามคลาสสิก ถ่ายทอดออกมาเป็นโมดสีใหม่ ภายใต้รหัส “MAUVE” ให้สาวๆได้แต่งแต้มกันอย่างมีความสุข เป็นสีโทนเย็นให้ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนตา ผสมผสานระหว่างประกายแห่งสีม่วง, เทา และน้ำตาล เฉดสีสวยที่ใครๆก็อยากครอบครอง


“SHU UEMURA” ปลุกเร้าสัญชาตญาณในตัวคุณ



อาร์ต ไดเรกเตอร์คนใหม่ประจำแบรนด์ “คะคุยะสุ อูชิอิเดะ” ตั้งชื่อคอลเลกชั่นล่าสุดว่า “instinct” เพื่อปลุกเร้าสัญชาตญาณความเย้ายวน ที่ซ่อนเร้นในตัวผู้หญิงให้ออกมาโลดแล่น โดยซีซั่นนี้ ให้ความสำคัญกับผิวเป็นหลัก มีแป้งฝุ่นสีกุหลาบเป็นเครื่องมือสำคัญ ช่วยเตรียมผิวหน้าให้สวยเนียนไร้ที่ติ ตามคอนเซปต์ ของชู อูเอมูระ ที่เชื่อว่า เคล็ดลับการแต่งหน้าให้สวยและเซ็กซี่ มีกุญแจสำคัญอยู่ที่ผิว เพราะผิวที่สวยโดนใจย่อมเปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอก จากนั้นค่อยเพิ่มสีสันชวนค้นหา ด้วยโทนสีสดเข้มและเนื้อสัมผัสหรูหรา เผยให้เห็นความเย้ายวนผ่านการสอดประสานของชั้นสี

ซีซั่นนี้ อินเทรนด์ ไม่ตกยุคแน่นอน!!

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิธีป้องกันการแพ้เครื่องสำอางค์

ไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่เราใช้แล้วจะปลอดภัย 100% ถ้าผลิตภัณฑ์ไหนบอกมาว่าไม่แพ้แน่นอนแสดงว่าอันนั้นโกหกเพราะแต่ละคนจะมีการแพ้แตกต่างกันไป บทความนี้ก็จะพูดถึงการป้องกันเพื่อให้โอกาสในการแพ้เครื่องสำอางน้อยที่สุด

ทำอย่างไรถึงจะป้องกันการแพ้เครื่องสำอางค์ได้

- อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนผสมที่อยู่บนผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่เราต้องใช้ หากพบว่ามีส่วนผสมตัวใดที่เคยทำให้แพ้ก็ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้น คอยสังเกตส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ว่าตัวใดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมตัวนั้น

- เมื่อจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ให้ทำการแต้มผลิตภัณฑ์นั้นในบริเวณแคบ ๆ ก่อน หรือที่เรียกว่า mini-patch test เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ โดยการแต้มผลิตภัณฑ์นั้นบนข้อมือด้านใน หรือบริเวณข้อศอกทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วดูว่ามีอาการแพ้เกิดขึ้นหรือไม่

- เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรผสมง่าย ๆ ยิ่งมีส่วนผสมมากยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้ได้มากขึ้น ด้วยส่วนผสมน้อย ๆ ก็จะทำให้ง่ายในการหาสาเหตุของการแพ้ได้

- ฉีดน้ำหอมในบริเวณเสื้อผ้าจะดีกว่าการฉีดลงบนผิว แล้วรอให้น้ำหอมที่ฉีดบนเสื้อผ้าแห้งเสียก่อนจึงค่อยสวมใส่เสื้อผ้านั้น


- ควรระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับเมคอัพ เนื่องจากจะต้องอยู่บนผิวหน้าเป็นเวลานานระหว่างวัน เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น hypoallergenic, ปราศจากน้ำหอม, และ non-comedogenic อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเช่นนี้ก็ยังอาจทำให้เกิดการแพ้ได้

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับฉลากผลิตภัณฑ์

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักส่วนผสมแต่ละตัวในผลิตภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ที่ทราบอยู่แล้วว่าจะทำให้คุณเกิดอาการแพ้ เพื่อให้ง่ายขึ้น FDA ได้ระบุให้บริษัทเครื่องสำอางแจงรายการส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ไว้บนฉลาก ไล่ตามความมากน้อยของส่วนผสมแต่ละรายการ โปรดจำไว้ว่า ความลับทางการค้าและส่วนผสมของรสชาติและความหอม นั้นไม่จำเป็นจะต้องแจงรายละเอียด

และอีกประการหนึ่งของฉลากผลิตภัณฑ์ที่ว่า “ไม่มีกลิ่น” หรือ “ปราศจากน้ำหอม” ก็อาจผสมน้ำหอมปริมาณน้อย ๆ เพื่อกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์ของส่วนผสมอื่น ๆ ที่เป็นเคมี “ธรรมชาติ” หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากต้นไม้หรือสัตว์ มากกว่าส่วนผสมที่ได้จากสารเคมี ฉลากผลิตภัณฑ์ที่แจงว่า “non-comedogenic” จะต้องไม่มีส่วนผสมที่ทำให้อุดตันรูขุมขนอันอาจทำให้เกิดสิว

ฉลากเครื่องสำอางนั้นเป็นประโยชน์มากเมื่อเราต้องการทราบส่วนผสมต่าง ๆ แต่ควรระวังเรื่องของเจตนาในการอ้างถึงสรรพคุณผลิตภัณฑ์ เช่น มีผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ตัวที่แจงว่าเป็น Hypoallergenic เพื่อจะบอกว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ แต่บริษัทผู้ผลิตนั้นไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างนั้น อีกประการหนึ่ง ฉลากผลิตภัณฑ์ที่แจงว่า “organic” นั้นไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ จำไว้ว่า ไม่มีเครื่องสำอางใดที่สามารถรับประกันได้ว่าไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

คำแนะนำเพื่อความปลอดภัย

- รักษาความสะอาดให้ดีอยู่เสมอ ทำความสะอาดมือและผิวหน้าก่อนการใช้เมคอัพทุกครั้ง

- ไม่ควรใช้เมคอัพร่วมกับผู้อื่น

- หากต้องการทดลองผลิตภัณฑ์ในร้าน พยายามขออุปกรณ์ช่วยทาอันใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้ และบอกพนักงานขายให้เช็ดทำความสะอาดผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองด้วยแอลกอฮอล์

- ปิดขวดหรือบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอางให้แน่นสนิท ไม่ให้สัมผัสกับฝุ่นและสิ่งสกปรก หลังจากเปิดใช้แล้ว

- เก็บเครื่องสำอางให้พ้นจากความร้อนและแสงแดด

- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตา หากมีการติดเชื้อที่ดวงตา แต่หากมีการใช้ในช่วงที่ติดเชื้อให้หยุดใช้แล้วทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้กับดวงตานั้น ๆ ทิ้งไป แล้วใช้ของใหม่เมื่อการติดเชื้อที่ดวงตาหายดีแล้ว

- ทิ้งผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนของสีหรือกลิ่น เพราะนั่นอาจหมายถึงสารกันเสียที่อยู่ในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไม่อาจป้องกันเชื้อแบคทีเรียได้อีกต่อไป หรือสารกันเสียหมดอายุแล้วนั่นเอง

- หากผลิตภัณฑ์มีความเปลี่ยนแปลงของเนื้อผลิตภัณฑ์ ให้ทิ้งไปเลย

- ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าและอุปกรณ์ในการแต่งหน้าอยู่เสมอทุกสัปดาห์

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก
http://www.acnethai.com/